Boonthar at Facebook Boonthar at Twitter


GOLD PLATINUM
เช็คแต้มสะสมสำหรับสมาชิก
ร้านบุญทาพาณิชย์




เช็คการใช้แต้มสะสม
เช็คข้อมูลการใช้แต้มสะสมของสมาชิก
สำหรับพนักงาน






สาระน่ารู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

วิธีการใช้งานที่ถูกต้องและช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าที่คิด

11 วิธีฉลาดๆ เลือก Smart TV ให้ถูกใจ คุ้มราคา

ไม่ใช่เรื่องยากนักหากจะมองหา Smart TV เครื่องใหม่มาแทนทีวีจอตู้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะได้ Smart TV ที่ถูกใจและให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป เนื่องจากตลาดทีวีในปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบรนด์ หลากรุ่น หลายขนาด ที่สำคัญราคาถูกลง ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของ Smart TV ได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมาจะมีวิธีหรือปัจจัยอะไรที่จะคอยเป็นตัวช่วยสำหรับผู้บริโภคในการเลือกซื้อ Smart TV วันนี้เรามีคำตอบครับ

 

 

เลือก Smart TV

เลือก Smart TV1.รู้จักก่อนว่า Smart TV คืออะไร ?

จากเดิมที่หลายบ้านคุ้นเคยกับการชมละคร ดูข่าว ดูรายการต่างๆ เพียงอย่างเดียว ผ่านทีวีจอตู้ขนาดหนาๆ แต่สำหรับ Smart TV ถูกพัฒนาในหลายๆ ด้าน อาทิ ตัวเครื่องที่บางลง ฟังก์ชันการใช้งานที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การเข้าเว็บบราวเซอร์, ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันเพิ่มเติมได้เสมือนการใช้สมาร์ทโฟน หรือจะใช้แฟลชไดร์ฟต่อเข้ากับพอร์ตของ Smart TV เพื่อการฟังเพลง ชมภาพยนตร์ แถมบางรุ่นยังมีความ “ฉลาด” สามารถสั่งงานด้วยเสียง, ควบคุมด้วยท่าทาง หรือจะเป็นการปลดล็อคหน้าจอด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า เป็นต้น

2. ความแตกต่างของหน้าจอแต่ละประเภท

– LCD (Liquid Crystal Display) เป็นเทคโนโลยีแรกๆ สำหรับทีวีจอแบน ใช้หลอดไฟ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ขนาดเท่าหลอดกาแฟ วางเรียงตัวเป็นแนวนอนอยู่ภายใต้หน้าจอเป็นตัวก่อกำเนิดแสง (Backlit) ทำงานร่วมกับ Color Filter ทั้ง 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว ก่อนแสดงผลออกมาสีสันต่างๆ ที่เราเห็นบนจอภาพนั่นเอง

– LED (light-emitting diode) เป็นประเภทของทีวียอดนิยมมากที่สุดในตลาด ต่อยอดเทคโนโลยีมาจาก LCD ใช้หลอดไฟ LED ขนาดจิ๋ว 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว เป็นตัวกำเนิดแสง แต่กลับให้แสงสว่างได้ดีว่า LCD กินไฟน้อยกว่า และตัวเครื่องมีความบางยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ LED TV ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นดังนี้

          – EDGE LED  เป็นประเภทที่มีการจัดวางหลอด LED ไว้ตามขอบทีวีทั้ง 4 ด้าน ทำหน้าที่ยิงแสงเข้ามากลางจอทีวี มีส่วนทำให้ตัวเครื่องมีขนาดบางลง และกินไฟน้อยกว่า LCD TV แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการแสดงสีสันที่จะด้อยกว่าประเภท Full LED

          – Full LED  จะเหนือกว่า EDGE LED ในเรื่องของการแสดงสีสันของภาพคมชัด สีสันสดใส Contrast สูง มีการจัดวางหลอด LED เต็มแผงหน้าจอ ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความหนาขึ้นเล็กน้อย เพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยี Local dimming ที่สามารถกำหนดการเปิดและปิดไฟเฉพาะจุดอัตโนมัติ ส่งต่อการแสดงภาพที่มีความสมจริง

          – RGB LED เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของ LED  เนื่องจากใช้หลอด LED 3 สีคือ RGB (แดง, เขียว, น้ำเงิน) เป็นตัวกำเนิดแสงมาจับเป็นกลุ่มเรียงเต็มแผงหน้าจอ พร้อมใช้เทคโนโลยี Local dimming แบบเดียวกับ Full LED ช่วยให้การแสดงผลภาพและสีสันมีความถูกต้อง ชัดเจน มีมิติมากกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้นกว่าทั้งสองประเภทที่กล่าวมา

– Plasma TV อีกประเภทของจอทีวี มีเม็ดพิกเซลที่สามารถให้กำเนิดแสงได้เองด้วยแรงดันไฟฟ้า แสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดี ให้สีดำที่ดำสนิท สีสันมีความเป็นธรรมชาติ มีมิติและมุมมองของการแสดงภาพที่กว้างกว่า LCD TV แต่กระจกของ Plasma TV จะสะท้อนแสงเมื่อตั้งอยู่ในห้องที่มีแสงจ้ามากๆ ทำให้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอลดคุณภาพลงไปพอสมควร รวมถึงมีอัตราการกินไฟมากอีกด้วย

– OLED TV (Organic Light Emitting Diodes)

เป็นประเภทของทีวีสมัยใหม่ ที่เสมือนเป็นการนำจุดแข็งของทีวีแต่ละประเภทมารวมไว้ในที่เดียว เม็ดพิกเซลสามารถให้กำเนิดแสงได้เองคล้ายกับ Plasma TV ไม่ต้องพึ่งหลอดไฟเหมือน LCD หรือ LED จุดเด่นของจอ OLED คือความบางและความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาหน้าจอให้มีความโค้งได้ กินไฟน้อย แสดงสีสันของภาพได้สม่ำเสมอไม่ว่าจะมองจากองศาใดก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยย่อมตามมาด้วยราคาที่แพงขึ้น

ซึ่งการรู้จักประเภทของจอภาพในเบื้องต้นนี้ เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ Smart TV ทั้งในเรื่องการใช้พลังงาน ความละเอียด สีสันของภาพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ “ราคา”

3. ระยะห่าง และขนาดทีวี เกี่ยวพันกันอย่างไร?


หลายคนอาจไม่เคยวางแผนมาก่อนว่าจะเลือกตำแหน่งวางทีวีเครื่องใหม่ในระยะห่างเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งบางคนอาจเข้าใจผิดอีกว่าระยะห่างไม่สำคัญ แค่จอใหญ่เท่าไหร่ยิ่งทำให้เห็นภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่แท้จริงขนาดหากตั้งในระยะห่างที่เหมาะสมก็จะช่วยให้เราได้เห็นภาพที่คมชัด สีสันที่สร้างความประทับใจ และยังเปรียบได้กับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นงามที่ประดับอยู่ในบ้านของคุณอีกด้วย ดังนั้นขนาดของห้องที่จะนำ Smart TV ไปจัดวางก็เป็นอีกหนึ่งข้อควรพิจารณาประกอบการเลือกซื้อด้วยเช่นกัน

– ทีวีขนาด 56 นิ้วขึ้นไป ระยะห่างควรอยู่ที่ 3 เมตรขึ้นไป

– ทีวีขนาด 46-55 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 2.5 ถึง 3 เมตร

– ทีวีขนาด 40-45 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 2 ถึง 2.5 เมตร

– ทีวีขนาด 32-39 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 1.5 ถึง 2 เมตร

– ทีวีขนาดต่ำกว่า 32 นิ้ว ลงมา ระยะห่างควรอยู่ที่ 1.5 เมตร หรือน้อยกว่านั้น

4. ความละเอียดของภาพ (Resolution)
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อ ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าในตลาดบ้านเราความละเอียดเริ่มต้นของทีวีจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

– HD (1366 x 768 Pixel) เป็นมาตรฐานความละเอียดที่แพร่หลายในตลาดปัจจุบัน รวมถึงรายการหรือละครทางทีวีหลายช่องในระบบทีวีดิจิตอล ก็มีการแพร่ภาพในระบบ HD แล้วด้วย สนับสนุนรับชมภาพที่มีความคมชัดและลงตัว นอกจากนี้ราคาทีวียังไม่แพงอีกด้วย

– Full HD (1920 x 1080 Pixel) อีกหนึ่งความละเอียดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ช่วยในการดูหนังแบบ Blu-ray, คอนเทนต์หรือรายการทีวีแบบ Full HD ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และแน่นอนเป็นความละเอียดที่สอดคล้องกับการรับชมรายการในระบบทีวิดิจิตอล

– UHD (Ultra High Definition หรือ 4K) มีความละเอียดอยู่ที่ 3840 x 2160 Pixel สูงกว่า Full HD ถึง 4 เท่า ซึ่งประโยชน์ของการแสดงภาพในความละเอียดระดับ UHD จะช่วยให้เราได้ชมภาพที่มีความคมชัด เสมือนจริง แถม UHD TV บางรุ่นยังมีฟังก์ชั่น Upscale ภาพ ในระดับ Full HD ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง UHD ได้ แต่ต้องยอมรับว่าคอนเทนต์ หรือรายการทีวีที่มีการถ่ายทำแบบ UHD ในประเทศไทยยังแทบไม่มีให้เห็น และราคาทีวียังค่อนข้างสูง

5. ความแตกต่างของระบบปฏิบัติการ

การเปลี่ยนแปลงความเป็นทีวีแบบเดิมๆ สู่ Smart TV ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ (OS) ที่ยกระดับการใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งการโหลดแอพพลิเคชัน, การเชื่องโยงกับบริการออนไลน์ต่างๆ, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และอื่นๆ  ซึ่งนับว่าคุณสมบัติในปัจจุบันมีความใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เว้นแต่ยังไม่สามารถโทรเข้าโทรออกได้เท่านั้น

ด้วยความทันสมัยที่เกิดขึ้นกับ Smart TV ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ผู้ผลิตต่างมีความต้องการให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวก มีความง่ายต่อการใช้งาน และได้รับประสบการณ์ที่ดีผ่านระบบปฏิบัติการที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งระบบปฏิบัติการหรือ OS ที่ถูกนำมาใช้กับ Smart TV หลายแบรนด์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นดังนี้

– Android TV

เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาเพื่อการใช้งานร่วมกับ Smart TV และมีความใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รองรับการใช้งานแอพพลิเคชันได้เช่นเดียวกัน พร้อมคุณสมบัติของการขยายความบันเทิงอันหลากหลายบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตไปสู่หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ Android TV บางรุ่น อาทิ BRAVIA Android TV มีลูกเล่นที่เรียกว่า Google Cast ในตัว ที่สามารถส่งคอนเทนต์ต่างๆ เช่น วีดีโอจาก YouTube จากสมาร์ทโฟนให้ไปแสดงบนหน้าจอได้ พร้อมกันนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถเลือกและดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆที่คุ้นเคยบนสมาร์ทโฟน ให้มาปรากฎบนหน้าจอทีวีด้วย Google Play รวมทั้งใช้ Voice Search สามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อค้นหารายการ เนื้อหาต่าง ๆ และควบคุมโทรทัศน์ด้วยเสียงพูดผ่านไมโครโฟนบนรีโมทได้

 

สำหรับ Firefox น่าจะเป็นที่รู้จักดีสำหรับท่องเว็บ ในฐานะบราวเซอร์ที่สามารถเพิ่มลูกเล่นหรือปรับแต่งธีมต่างๆ ได้ตามใจ ซึ่งปัจจุบัน Firefox ได้เริ่มพัฒนาต่อยอดได้รูปแบบระบบปฏิบัติการ ที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟน หรือแม้กับ Smart TV ภายใต้พื้นฐานการออกแบบด้วย HTML5 โดย Panasonic เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ให้การสนับสนุน Firefox OS เพื่อนำมาใช้กับ Smart TV บ้างแล้ว

และในปัจจุบันส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (user interface) ของ Firefox OS บน Smart TVได้ก้าวมาถึงเวอร์ชัน My Home Screen 2.0 ที่ให้ความสะดวกในการเรียกใช้งาน เช่น ฟีเจอร์ Voice Assistant Pro การสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งระบบจะจดจำข้อมูลการใช้งานของแต่ละยูสเซอร์ไว้ เพื่อแสดงข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของยูสเซอร์รายนั้น หรือจะเป็นฟีเจอร์การเรียกใช้งานเมนูอื่นๆ ได้ในเวลาเดียวกัน แม้ในขณะนั้นจะเปิดชมรายการหรือภาพยนตร์ไว้ก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน สำหรับชมรายการหรือภาพยนตร์ได้จากทุกที่ เป็นต้น

6. พิจารณาจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และรองรับเทคโนโลยี DLNA

อีกหนึ่งข้อสังเกต คือ ลักษณะของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เนื่องจาก Smart TV หลายรุ่นมีความแตกต่างกัน บางรุ่นอาจใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสาย LAN, บางรุ่นใช้ Wi-Fi Adapter USB  หรือเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ Built-in ซึ่งเป็นประเภทที่มีมากับ Smart TV บางรุ่นเท่านั้น และราคาก็มีความแตกต่างกันไปตามสเปค

ส่วนเทคโนโลยี DLNA (Digital Living Network Alliance) จะมีเฉพาะ Smart TV บางรุ่นเช่นกัน ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้เมื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, กล้องถ่ายภาพ หรือโน้ตบุก ในวงเดียวกันแล้ว จะสามารถแชร์ภาพยนตร์ เกม หรือภาพถ่าย มาแสดงผลทางหน้าจอทีวี พร้อมการควบคุมผ่านอุปกรณ์เหล่านั้นได้แบบไร้สาย นับเป็นอีกหนึ่งข้อดีของ Smart TV ในปัจจุบัน

7. พอร์ตการเชื่อมต่อ

เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้เนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละบ้านที่แตกต่างกันออกไป บางครั้งใช้พอร์ต HDMI การเชื่อมต่อเข้ากับหลายอุปกรณ์ร่วมกับทีวี เช่น โฮมเธียเตอร์, เครื่องเล่น DVD หรือบางบ้านใช้ต่อเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น  ฉะนั้นแล้วเพื่อเพิ่มความสะดวกและรองรับต่อการใช้งานในปัจจุบันหรือในอนาคตที่มีความหลากหลาย การมีพอร์ท HDMI, S-Video, AV, DVI, VGA, Component, Audio, USB ให้เลือกใช้งานมากพอสมควร จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยอำนวยความสะดวกและไม่ต้องถอดสายจากอุปกรณ์หนึ่งไปใช้อีกอุปกรณ์ให้วุ่นวาย

8. ระบบเสียง

หลายบ้านซื้อ Smart TV ไปแล้ว ยังนำไปเชื่อมต่อกับโฮมเธียเตอร์ เพื่อเพิ่มอรรถรสของเสียงให้ดียิ่งขึ้น แต่หากท่านใดที่ไม่ไม่ได้ใช้เชื่อมต่อกับเครื่องเสียง ลำโพงที่มากับทีวีจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง โดยอาศัยการพิจารณาจากการเพิ่มระดับความดังของเสียง เสียงที่ดีควรมีความชัดเจน ทั้งเสียงพูด เสียงเบส หรือ Sound effect ต่างๆ ไม่มีอาการแตกหรือเสียงแหลม สามารถปรับการแสดงเสียงให้เหมาะกับการรับชมในประเภทต่างๆ ตลอดจนปรับระดับเสียงให้สอดคล้องกับบริเวณที่ติดตั้งได้ด้วย

 9. รองรับทีวีดิจิตอล

อย่างที่หลายคนทราบดีว่า ประเทศไทยเริ่มมีแพร่ภาพทีวีดิจิตอลในระบบ DVB-T2 ที่มีคุณสมบัติในการส่งสัญญาณความละเอียดสูงทั้งภาพและเสียงในแบบ HD หรือ Full HD รวมถึงเพิ่มช่องทีวีในการรับชมที่มากขึ้น บางบ้านอาจใช้การเลือกซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลเพื่อนำมาต่อพ่วงกับเสาก้างปลาและทีวีเครื่องเดิม แต่สำหรับบางบ้านอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนทีวีไปใช้เครื่องใหม่ ซึ่ง Smart TV รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันนอกจากราคาที่ถูกลง ยังมาพร้อมระบบ DVB-T2 สังเกตได้จากสัญลักษณ์ “น้องดูดี” ที่จะติดให้เห็นเด่นชัด ช่วยให้สามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้ในทันที โดยไม่ต้องอาศัยกล่องติดตั้งเพิ่มแต่อย่างใด

10. บริการหลังการขาย

การจะซื้อ Smart TV ให้คุ้มค่า นอกจากพิจารณาเรื่องคุณสมบัติและราคาแล้ว บริการหลังการขายของแต่ละแบรนด์นับมีความสำคัญไม่แพ้กัน ทั้งการให้คำแนะนำการใช้งานที่ถูกต้องจากช่างหรือบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ติดต่อให้คำปรึกษา แก้ปัญหาได้ง่ายและรวดเร็ว รวมไปถึงศูนย์บริการหรือศูนย์ซ่อมที่สามารถหาได้ง่าย

11. งบประมาณ

แม้ดีไซน์ของ Smart TV จะโดนใจ มีคุณสมบัติให้ใช้งานที่หลากหลาย แต่หากงบประมาณไม่สอดคล้องกับความชอบ ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้ Smart TV ตรงตามที่ต้องการ ฉะนั้นแล้วงบประมาณจึงกล่าวได้ว่าควรเป็นสิ่งที่นำมาพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ก่อนเรื่องอื่นๆ ควรกำหนดงบประมาณขั้นต่ำไปจนถึงตัวเลขสูงสุดที่ตัวคุณคิดว่า “พอจ่ายไหว” และนำไปเปรียบเทียบกับช่วงราคาของ Smart TV ก่อนใช้ข้อควรพิจารณาตามที่กล่าวมาขั้นต้นเป็นเครื่องมือในการประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ Smart TV ที่ดีที่สุดสำหรับบ้านของคุณ


#วิธีเลือกใช้เครื่องปรับอากาศและการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี 

หน้าร้อนปีนี้ เราควรดูแลเครื่องปรับอากาศให้พร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ และการเลือกชื้อเครื่องปรับอากาศอย่างไร ให้เหมาะสมและถูกวิธี ชึ่งจะช่วยประหยัดค่าไฟในหน้าร้อนได้มากทีเดียวครับ วันนี้เราจึงนำเคล็ดวิธีดีๆ ในการใช้เครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนนี้ให้ประหยัดพลังงาน มาฝากกันครับ 
เคล็ดลับการใช้งานเครื่องปรับอากาศให้ประหยัดในหน้าร้อนและยุคสมัยที่อะไรๆก็แพงไปหมด เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวของคุณ เรามีเคล็ดลับดีๆในการใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างถูกต้อง ซึ่งช่วยให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าไฟฟ้า และดูแลรักษาให้อยู่ทนนานโดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้ครับ

#วิธีเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ

1. ควรเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะทำให้คุณได้เครื่องปรับอากาศที่มีคุณภาพ และเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าของคุณ เพราะฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หมายถึงคุณภาพในการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศที่คุ้มค่าที่สุด โดยฉลากนี้ต้องเป็นฉลากของ สมอ. หรือ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเท่านั้นจึงจะเชื่อถือได้ โดยคุณภาพจะกำหนดเป็นตัวเลขได้ดังนี้EGET5 new

เลข 5 – ดีมาก ประสิทธิภาพการประหยัดไฟสูงสุด
เลข 4 – ดี ประสิทธิภาพการประหยัดไฟสูง
เลข 3 – ปานกลาง ประสิทธิภาพการประหยัดไฟปานกลาง
เลข 2 – พอใช้ ประสิทธิภาพการประหยัดไฟพอใช้
เลข 1 – ต่ำ ประสิทธิภาพการประหยัดไฟระดับต่ำ ไม่ควรใช้

2. เลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดห้อง

hom_acunit081212_234218a_8col

 

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญครับ เพราะว่าขนาดห้องมีผลอย่างมากต่อความเย็นในห้อง ถ้าห้องมีขนาดใหญ่ แต่ใช้เครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก นอกจากจะทำให้ห้องไม่เย็นแล้ว ยังทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินความจำเป็นอีก ดังนั้นถ้าจะซื้อเครื่องปรับอากาศซักเครื่อง ต้องซื้อให้ตรงกับขนาดห้องที่จะใช้ครับ โดยดูได้จากตารางด้านล่างนี้เลย (สำหรับห้องที่มีความสูงไม่เกิน 3 เมตร) โดยช่องด้านซ้ายจะเป็นขนาดของห้อง มีหน่วยเป็นตารางวา และด้านขวาเป็นขนาดของเครื่องปรับอากาศ มีหน่วยเป็น บีทียู/ชั่วโมง

#สูตรการคำนวณ BTU   

      BTU =  พื้นที่ห้อง ( กว้าง x ยาว ) x ความแตกต่าง 

      ความแตกต่างแบ่งได้ 2 ประเภท  

      600 - 700 = ห้องที่มีความร้อนน้อยใช้เฉพาะกลางคืน 
      700 - 800 =ห้องที่มีความร้อนสูงใช้กลางวันมาก

วิธีเลือก BTU แอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง


3. เลือกประเภทเครื่องปรับอากาศแบบไหนดีจึงจะเหมาะสมกับการใช้งาน

เครื่องปรับอากาศที่ขายอยู่ในท้องตลาดขณะนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ชนิดติดหน้าต่าง, ชนิดแยกส่วนติดฝาผนัง หรือแขวน และสุดท้ายเครื่องปรับอากาศชนิดแยกส่วนตั้งพื้น โดยแต่ละประเภทจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันดังนี้

3.1 ชนิดติดหน้าต่าง

Window-Air-Conditioner

เหมาะสมกับห้องที่มีลักษณะที่ติดตั้งวงกบหน้าต่างติดกระจก ช่องแสงติดตาย บานกระทุ้ง บานเกล็ด เป็นต้น มีขนาดตั้งแต่ 9,000-24,000 บีทียู/ชม. มีค่าประสิทธิภาพ (EER = บีทียู/ชั่วโมง/วัตต์) ตั้งแต่ 7.5-10 บีทียู/ชม./วัตต์

3.2 ชนิดแยกส่วนติดฝาผนัง หรือแขวน

room-air-conditioner_17521_600x450

เหมาะสมกับห้องที่มีลักษณะทึบจะติดตั้งได้สวยงาม แต่จะมีราคาแพงกว่า เมื่อเปรียบเทียบเครื่องปรับอากาศชนิดต่างๆ ที่มีขนาดเท่ากัน (บีทียู/ชม.) เครื่องปรับอากาศชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า และจะมีสวิตช์ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับควบคุมอุณหภูมิความเย็นของห้อง มีขนาดตั้งแต่ 8,000–24,000 บีทียู/ชม. ค่า EER ตั้งแต่ 7.5-13 บีทียู/ชม./วัตต์

3.3 เครื่องปรับอากาศชนิดแยกส่วนตั้งพื้น

Floor_Ceiling_Type_Air_Conditioner

เหมาะกับห้องที่มีลักษณะห้องที่เป็นกระจกทั้งหมด ผนังทึบซึ่งไม่อาจเจาะช่องเพื่อติดตั้งได้ เมื่อเปรียบเทียบเครื่องปรับอากาศชนิดต่างๆ ที่มีขนาดเท่ากัน เครื่องปรับอากาศชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า มีขนาดตั้งแต่ 12,000-36,000 บีทียู/ชม. มีค่า EER ตั้งแต่ 6-11 บีทียู/ชม./วัตต์

เมื่อรู้จักวิธีการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับห้อง หรือที่พักอาศัยของเรากันแล้ว ต่อไปเราก็มาดูวิธีการใช้งานเครื่องปรับอากาศของเราให้ห้องเย็นสดชื่น และประหยัดพลังงาน ไม่กินไฟกันดีกว่าครับ

วิธีใช้เครื่องปรับอากาศให้ประหยัดพลังงาน

split-air-conditioning

1. ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งที่เหมาะสม คือสูงจากพื้นพอสมควร สามารถเปิดหรือปิดปุ่มต่างๆ ได้สะดวก และให้ความเย็นเป่าออกจากเครื่อง และหมุนเวียนในห้องได้อย่างทั่วถึง

2. ปิดประตูห้อง หรือหน้าต่างให้มิดชิด อย่าให้ความเย็นรั่วไหล

3. ตั้งค่าให้เหมาะสม โดยเมื่อเปิดเครื่องควรเปิดความเร็วพัดลมไปที่ตำแหน่งสูงสุดก่อน เมื่อความเย็นได้ที่แล้ว ควรตั้งความเย็นไปที่อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส

clim filtre

4. หมั่นทำความสะอาด แผ่นกรองอากาศ อุปกรณ์ในระบบปรับอากาศ และตะแกรง รวมทั้งชุดคอมเดนเซอร์ เพื่อให้อากาศผ่านเข้าออกได้สะดวกจะประหยัดไฟโดยตรง

5. ใช้พัดลมระบายอากาศเท่าที่จำเป็น

6. ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้

7. ฤดูหนาว อากาศไม่ร้อนมากเกินไป ไม่ควรเปิดเครื่องปรับอากาศ

8. หมั่นตรวจสอบ ล้าง ทำความสะอาดตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตกำหนด

15894.GilaTitaniumHeatControlPeelCling_4

9. หน้าต่างหรือบานกระจกควรป้องกันรังสีความร้อนที่จะเข้ามา ด้วยการใช้อุปกรณ์บังแดดภายนอกมิให้กระจกถูกแสงแดด เช่น ผ้าใบ หรือแผงบังแดด หรือร่มเงาจากต้นไม้ ใช้กระจกหรือติดฟิล์มที่สะท้อนรังสีความร้อน และใช้อุปกรณ์บังแดดภายใน เช่น ผ้าม่าน มู่ลี่ (กระจกด้านทิศใต้ให้ใช้ใบอยู่ในแนวนอนกระจกทิศตะวันออก-ตกให้ใช้ใบที่อยู่ในแนวดิ่ง)

10. ผนังหรือเพดานโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านที่มีแสงแดดส่องจะเก็บความร้อนไว้มาก ทำให้มีการสูญเสียพลังงานมาก จึงควรป้องกันดังนี้ บุด้วยฉนวนกันความร้อนหรือแผ่นฟิล์มอะลูมิเนียมสะท้อนรังสีความร้อน ทำที่บังแดด/หลังคา/ปลูกต้นไม้ด้านนอกอาคาร

11. พยายามอย่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ไฟส่องสว่างก็เป็นตัวให้ความร้อน จึงควรปิดไฟเมื่อไม่มีความจำเป็น

derwent tr condenser unit

 

12. ชุดคอนเดนเซอร์ที่ใช้ระบายความร้อนสู่ภายนอก ควรถูกแสงแดดให้น้อยที่สุด ขจัดสิ่งกีดขวางทางลมเพื่อให้ระบายอากาศได้สะดวก และอย่าติดตั้งให้ปะทะกับลมธรรมชาติโดยตรง

#คำแนะนำด้านความปลอดภัยของเครื่องปรับอากาศ

safety-first

เมื่อรู้วิธีเลือก และวิธีใช้เครื่องปรับอากาศที่ถูกต้องกันไปแล้ว ต่อไปมาดูคำแนะนำด้านความปลอดภัยของการใช้งานกันบ้าง

1. ติดตั้งระบบสายดินกับเครื่องปรับอากาศ และทดสอบไฟรั่วด้วยไขควงลองไฟ
2. หากมีเครื่องตัดไฟรั่วที่บ้านขนาดไม่เกิน 30mA ถ้าป้องกันวงจรของเครื่องปรับอากาศด้วย อาจมีปัญหาเครื่องตัดไฟรั่วทำงานบ่อยขึ้น ควรหลีกเลี่ยงโดยการแยกวงจรออก และใช้ขนาดไม่ต่ำกว่า100 mA ป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
3. ติดตั้งเบรกเกอร์หรือสวิตช์อัตโนมัติและควบคุมวงจรโดยเฉพาะ
4. กรณีมีไฟตกหรือไฟดับ ถ้าไม่มีสวิตช์ปลดสับเองโดยอัตโนมัติ ต้องรีบปิดเครื่องทันทีก่อนที่จะมีไฟมา และควรรอระยะเวลาประมาณ 3-5 นาทีก่อนที่จะสับสวิตช์เข้าใหม่เพื่อป้องกันไฟกระชาก
5. หมั่นตรวจสอบขั้วและการเข้าสายของจุดต่อต่างๆ อยู่เสมอ
6. ดูข้อควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างระเอียด 

เพียงเท่านี้หน้าร้อนนี้คุณก็มีเครื่องปรับอากาศใช้เหมาะสมกับที่พักอาศัย ประหยัดไฟ และใช้งานได้อย่างปลอดภัยแล้วครับ หรือโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่มจากทางร้านบุญทาพาณิชย์ได้ดั่งนี้ครับ สาขาพาน โทร053722779   สาขา อ.เมือง โทร053773900   สาขา อ.เวียงป่าเป้า โทร 053781878 ทางร้านฯเรายินดีให้คำปรึกษาครับ





ดูแลเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างถูกวิธี
 

เคล็ดลับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า และการประหยัดพลังงาน
1. ไม่ควรเปิดเครื่องตลอดเวลาขณะอาบน้ำ หรือสระผม สิ้นเปลืองทั้งน้ำและไฟฟ้า
2.
เมื่อใช้แล้วควรปิดเครื่อง อย่าเปิดสวิตช์ทิ้งไว้จะสิ้นเปลืองไฟฟ้า
3.
ควรตั้งระดับความแรงของน้ำไว้ที่ระดับปานกลาง
4.
ดูแลรักษาและใช้อย่างถูกวิธี อย่าให้น้ำรั่วจากฝักบัว จะเปลืองน้ำ และเครื่องจะทำงานมากกว่าปกติ สิ้นเปลืองไฟ
5.
ตรวจดูระบบท่อน้ำ และรอยต่อให้มีสภาพดีอยู่เสมอ อย่าให้มีการรั่วซึม
6.
เลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นให้เหมาะสมกับขนาดของครอบครัว และความจำเป็นในการใช้
7.
ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นชนิดป้อนน้ำร้อน 1 เครื่องต่อ 1 ห้องน้ำ ประหยัดไฟกว่าชนิดเครื่องเดียวที่ป้อนน้ำอุ่นได้ครั้งละหลยๆ ห้อง
8.
เลือกใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีถังเก็บน้ำภายในตัวเครื่อง และมีฉนวนหุ้มจะประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้ร้อยละ 10-20

ประโยชน์ของเครื่องทำน้ำอุ่น
1.
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การอาบน้ำอุ่นเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้อาบ สายน้ำอุ่น ณ อุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้สูบฉีดไปทั่วร่างกาย
2.
ผ่อนคลายคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ การอาบน้ำอุ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และเกิดการตื่นตัว ช่วยรักษาบรรเทาความปวดเมื่อย และความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตามร่างกาย
3.
ปราศจากสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน การอาบน้ำในอุณหภูมิที่พอเหมาะ จะช่วยรักษาผิวพรรณ ชะล้างไขมันบนผิวหนัง และทำความสะอาดลึกถึงรูขุมขนได้ดีกว่า
4.
เพิ่มความสดชื่น คืนความกระปรี้กระเป่า เพราะสายน้ำอุ่นจะลดประจุบวก และเพิ่มประจุลบรอบข้างในอากาศขณะอาบน้ำช่วยทำให้คุณหายใจได้คล่องขึ้น รู้สึกสดชื่นภายหลังจากอาบน้ำ

#การดูแลรักษาเครื่องทำน้ำอุ่น
1.
อย่างอ หรือพับสายฝักบัว เพราะจะทำให้สายฝักบัวชำรุดได้
2.
หมั่นเช็ดทำความสะอาดฝักบัว เพราะอาจมีตะกอนไปอุดตันทางออกของน้ำ
3.
หมั่นตรวจเช็คสวิตช์ป้องกันกันไฟรั่วไฟดูด ELCB อย่างน้อยเดือนละครั้ง
4.
ก่อนทำความสะอาดเครื่อง ต้องปิดเบรกเกอร์ควบคุมไฟฟ้าทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
5.
การทำความสะอาดภายนอกตัวอาดเครื่องควรใช้ผ้านุ่มชุบน้ำบิดให้แห้ง แล้วเช็ดทำความสะอาด
6.
อย่านำผ้าเปียกชุ่มน้ำไปเช็ดทำความสะอาด หรือฉีดพ่นน้ำที่ตัวเครื่อง เพราะอาจทำให้เกิดไฟช็อตได้
และอาจจะเสียชีวิตได้




#ดูแลเครื่องซักผ้าอย่างถูกวิธี

   เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการซักผ้าให้แห้ง ง่ายและรวดเร็วขึ้น ลักษณะการทำงานของเครื่องธรรมดาทั่วไป คือเปิดวาล์วน้ำให้เข้าเครื่อง นำเสื้อผ้าลงแช่ ใส่ผงซักฟอก เปิดสวิทซ์ตั้งเวลาซักตามที่ต้องการให้เครื่องทำงาน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาซักประมาณ 20 นาที เป็นอย่างมาก หลังจากนั้นผู้ซักสามารถนำผ้าไปตากได้เลย และการที่จะใช้เครื่องซักผ้าให้เกิดการประหยัดพลังงานควรปฏิบัติดังนี้
     1.แช่ผ้าก่อนเข้าเครื่อง : กรณีซักผ้าแบบธรรมดา ควรแช่ผ้าก่อนนำเข้าเครื่องอย่างน้อย 30 นาที จะทำให้เครื่องซักผ้าทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
     2.ซักผ้าตามพิกัดของเครื่อง : จะใช้เครื่องซักผ้าก็ต่อเมื่อมีเสื้อผ้ามากพอเหมาะกับพิกัดและขนาดของ เครื่อง อย่าเดินเครื่องโดยไม่จำเป็น เช่น ซักเสื้อผ้าเพียง 1 -2 ตัวเท่านั้น และอย่าใส่เสื้อผ้าอัดแน่นจนเกินกำลังของเครื่อง
     3.ตากผ้ากับแสงอาทิตย์ดีกว่า : ไม่ควรซื้อเครื่องซักผ้าแบบที่มีเครื่องอบแห้งด้วยไฟฟ้า ควรใช้ราวแขวนผ้าตากให้แห้ง เครื่องอบผ้าใช้พลังงานสิ้นเปลืองมาก 

 



#ดูแลหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอย่างถูกวิธี

     1.เลือกขนาดหม้อหุงข้าวให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว ถ้าจำนวนสมาชิก 1-2 คนใช้ขนาด 0.3-1 ลิตร ถ้าจำนวนสมาชิก3-6 คนใช้ขนาด 1-1.5 ลิตร ถ้าจำนวนสมาชิก 5-8 คนใช้ขนาด 1.6-2 ลิตร
     2.ควรหุงข้าวให้พอดีกับจำนวนผู้รับประทาน
     3.ควรถอดปลั๊กออกเมื่อข้าวสุกแล้ว
     4.อย่าทำให้ก้นหม้อตัวในเกิดรอยบุบ จะทำให้ข้าวสุกช้า
     5.หมั่นตรวจบริเวณแท่นความร้อนในหม้อ อย่าให้เม็ดข้าวเกาะติด จะทำให้ข่าวสุกช้าและเปลืองไฟ

 



#ดูแลเตารีดไฟฟ้าอย่างถูกวิธี

เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทให้ความร้อน ซึ่งในการรีดแต่ละครั้งจะกินไฟมาก ดังนั้นจึงควรรู้จักวิธีใช้อย่างประหยัดและปลอดภัย และการที่จะใช้เตารีดไฟฟ้าให้เกิดการประหยัดพลังงานควรปฏิบัติดังนี้
     1.ตั้งปุ่มปรับความร้อนให้เหมาะสมกับชนิดของผ้า
     2.ไม่ควรพรมน้ำจนแฉะเวลารีดผ้า เพราะต้องใช้ความร้อนในการรีดมากขึ้น เสียพลังงาน มากขึ้น เสียค่าไฟเพิ่มขึ้น
     3.ควรรีดผ้าคราวละมากๆ ติดต่อกันจนเสร็จ
     4.ควรเริ่มรีดผ้าบาง ๆ ก่อน ขณะเตารีดยังไม่ร้อน
     5.ดึงปลั๊กออกก่อนการรีดเสื้อผ้าเสร็จ ประมาณ 2-3 นาที แล้วรีดต่อไปจนเสร็จ
     6.ควรซักและตากผ้าโดยไม่ต้องบิด จะทำให้รีดง่ายขึ้น
     7.ลด ละ เลี่ยง การใส่เสื้อสูท เพราะไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน สิ้นเปลืองการตัด ซัก รีด และความจำเป็นในการเปิดเครื่องปรับอากาศ

 



#ดูแลกระติกน้ำร้อนหรือกาต้มน้ำไฟฟ้าอย่างถูกวิธี

    เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์ในการต้มน้ำให้ร้อนเพื่อใช้ดื่ม และจัดเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าสูงตัวหนึ่งเช่นเดียวกับ เตารีดไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการทำงานเดียวกันคือ ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดความร้อนที่อยู่ภายในอุปกรณ์ แล้วนำความร้อนนั้นไปใช้ประโยชน์ 
     1.ควรเลือกซื้อรุ่นที่มีฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ
     2.ใส่น้ำให้พอเหมาะกับความต้องการหรือไม่สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้ เพราะนอกจากจะไม่ประหยัดพลังงานแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระติกอีกด้วย
     3.ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้น้ำร้อนแล้ว เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ไม่ควรเสียบปลั๊กตลอดเวลาถ้าไม่ต้องการใช้น้ำแล้ว แต่ถ้าหากมีความต้องการใช้น้ำร้อนเป็นระยะๆ ติดต่อกัน เช่น ในสถานที่ทำงานบางแห่งที่มีน้ำร้อนไว้สำหรับเตรียมเครื่องดื่มต้อนรับแขก ไม่ควรดึงปลั๊กออกบ่อยๆ เพราะทุกครั้งเมื่อดึงปลั๊กออกอุณหภูมิของน้ำจะค่อยๆ ลดลง กระติกน้ำร้อนไม่สามารถเก็บความร้อนได้นาน เมื่อจะใช้งานใหม่ก็ต้องเสียบปลั๊กและเริ่มทำการต้มน้ำใหม่ เป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน
     4.ไม่ควรเสียบปลั๊กตลอดเวลา ถ้าไม่ต้องการใช้น้ำร้อนแล้ว
     5.อย่านำสิ่งใดๆ มาปิดกั้นช่องไอน้ำออก
     6.ไม่ควรตั้งไว้ในห้องที่มีการปรับอากาศ

..เพียงเท่านี้ก็ช่วยคุณประหยัดไฟฟ้าจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ถูกหลักแล้ว และก็สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าที่คุณคิด.. ด้วยความหว่าใยจากทีมงานบุญทาพาณิชย์"รักคุณรักสิ่งแวดล้อม"


วิธีการเลือกซื้อเครื่องซักผ้าครับ

มีเพื่อนมาถามเรื่องซื้อเครื่องซักผ้าเพราะผมพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เลยอยากเอามาแบ่งปันให้เป็นแนวในการเลือกซื้อครับ

เราสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการซัก การล้าง และการปั่นหมาดได้ที่ฉลากด้านหลังของเครื่องซักผ้าได้ด้วยนะครับ
ถ้าเป็นเครื่องซักผ้าแบบเดียวกันแต่ละยี่ห้อมักจะได้ค่าใกล้เคียงกัน เพราะแต่ละบริษัทก็มีการเปรียบเทียบและพัฒนาแข่งกันอยู่แล้ว

หลักของการซักผ้าให้สะอาดก็คือ ให้ผ้าและน้ำมีการเคลื่อนที่ให้มากๆเข้าไว้ครับ จะให้ผ้าเป็นตัวเคลื่อนที่หรือน้ำเป็นตัวเคลื่อนที่ก็ได้แล้วแต่เทคนิคการออกแบบของแต่ละยี่ห้อครับ ถ้าเครื่องไหนซักแล้วผ้านิ่งๆ น้ำนิ่งๆ จะซักไม่ค่อยสะอาดครับ

เครื่องซักผ้าหลักๆจะมีอยู่ 3 ชนิดครับ คือ แบบสองถังกึ่งอัตโนมัติ แบบถังเดียวอัตโนมัติ และแบบฝาหน้า มาดูลักษณะแต่ละแบบกันครับ

1.แบบสองถังกึ่งอัตโนมัติ เครื่องซักผ้าแบบนี้ราคาจะถูกที่สุด ซักผ้าได้สะอาดดี ใช้เวลาซักไม่นานทำให้ใช้ไฟฟ้าไม่มากตามไปด้วย
ใช้น้ำไม่มากต่อการซักแต่ละครั้ง แต่เหนื่อยหน่อยครับเพราะต้องยกผ้าไปมาระหว่างถัง เหมาะสำหรับคนงบน้อย ต้องการซักแบบสะอาดๆ
แต่ไม่กลัวเหนื่อยครับ

2.แบบถังเดียวอัตโนมัติ เครื่องซักผ้าแบบนี้ราคาปานกลาง ซักผ้าได้สะอาดน้อยสุด ใช้เวลาซักปานกลาง ใช้ไฟฟ้าปานกลาง
ใช้น้ำมากที่สุดเหมาะสำหรับคนที่เสื้อผ้าในชีวิตประจำวันไม่สกปรกมากนัก ต้องการความรวดเร็วและความสะดวกสบายในการซัก

3.แบบฝาหน้า เครื่องซักผ้าแบบนี้ราคาแพงที่สุด ซักผ้าสะอาดที่สุด เพราะผ้าจะมีการเคลื่อนที่ได้ดี แล้วยังสามารถใช้น้ำอุ่นได้อีก
ทำให้สามารถละลายผงซักฟอกและคราบไขมันได้ยิ่งขึ้น แต่ใช้เวลาซักนานมากที่สุด ทำให้ใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย
แล้วถ้าใช้น้ำอุ่นก็จะใช้ไฟฟ้ามากขึ้นอีก ใช้น้ำน้อย ผงซักฟอกที่ใช้ควรเป็นชนิดฟองน้อยๆหรือผลิตมาเพื่อฝาหน้า
เพราะถ้าใช้แบบฟองเยอะๆ ฟองจะล้นออกมาตรงที่ใส่ผงซักฟอกได้ครับ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ
ต้องการความสะอาดมาเป็นอันดับแรกครับ

ถ้าจะเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆ
ราคาแพงที่สุด ฝาหน้า > ถังเดียว > สองถัง ราคาถูกที่สุด
สะอาดมากที่สุด ฝาหน้า > สองถัง > ถังเดียว สะอาดน้อยที่สุด
เวลาในการซักนานที่สุด ฝาหน้า > ถังเดียว > สองถัง เวลาในการซักน้อยที่สุด
ใช้น้ำมากที่สุด ถังเดียว > สองถัง > ฝาหน้า ใช้น้ำน้อยที่สุด
สะดวกสบายมากที่สุด ถังเดียว > ฝาหน้า > สองถัง สะดวกสบายน้อยที่สุด (ผมให้ถังเดียวดีกว่าฝาหน้าเพราะใช้เวลาน้อยกว่า)
หวังว่าน่าจะช่วยในการเลือกซื้อได้นะครับ



BOONTHAR.COM

Powered by CRiT Service | Administrator.| Check mail
Top